หน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย หนึ่งในนั้นคือร้านข้าวแกง “ป้าศรี” ผู้ใจดีที่ใครๆในละแวกนั้นก็รู้จัก ป้าศรีอยู่ตัวคนเดียวไม่มีลูกหลาน และญาติที่ไหน ดังนั้นเงินที่ขายข้าวแกงได้นั้นป้าศรีก็จะนำไปทำบุญ และเก็บออมไว้ต่อทุน  ป้าศรีเป็นที่รักของเหล่านักศึกษา วินมอเตอร์ไซด์ ไรด์เดอร์ และคนยากไร้ เพราะหากใครไม่มีเงินป้าศรีก็ให้ทานฟรี นักศึกษาบางคนทางบ้านให้เงินจำกัด ป้าศรีก็มีน้ำใจให้ทานข้าวฟรีๆ โดยตอบแทนน้ำใจป้าศรีด้วยการล้างจานให้บ้าง เก็บร้านให้บ้าง ดังนั้นจึงมีนักศึกษาที่ทั้งจบไปแล้ว และกำลังศึกษาอยู่แวะเวียนมาอุดหนุนป้าศรีเป็นประจำ   “หนูนา” และเพื่อนๆก็เป็นนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งที่แวะเวียนมาร้านป้าศรีเป็นประจำ วันนี้ก็เช่นกันหลังจากที่กินข้าวเสร็จหนูนาก็ขออนุญาตป้าศรีวางกล่องบริจาคเพื่อนำไปออกค่ายอาสาสมัครเพื่อซ่อมแซมโรงเรียนให้กับเด็กที่อยู่พื้นที่ห่างไกล ป้าศรีก็เป็นคนแรกที่ประเดิมบริจาค        ผ่านไปอีก 3 เดือนหนูนาก็มาใหม่ด้วยกล่องบริจาคเช่นเดิม คราวนี้จะนำไปทำนุบำรุงวัดที่ต้องบูรณะหลังน้ำท่วมทางภาคเหนือ ป้าศรีก็ยินดีให้วางไว้หน้าร้านเช่นเดิม

           อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ป้าศรีกำลังไปตลาดถูกโจรกระชากกระเป๋า ด้วยความที่อยู่ในซอยเปลี่ยวเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของป้าศรีไม่เป็นผล ป้าศรีได้แต่นั่งหายใจหอบตรงข้างทางและเดินกลับร้านด้วยความกลัดกลุ้ม วันนั้นป้าศรีปิดร้านเพราะไม่มีทุนซื้อของมาทำขาย นักศึกษาแวะเวียนจะมาทานข้าวก็ผิดหวังไปตามๆกัน หนูนาด้วยความเป็นห่วงป้าศรีเธอกับเพื่อนจึงตามป้าศรีไปที่บ้าน   ป้าศรีจึงเล่าเรื่องที่โดนกระชากกระเป๋าให้หนูนาและเพื่อนๆฟัง ต่างก็พากันสงสารป้าศรี “คนดีๆอย่างป้าศรีทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ” หนูนาบ่นกับเพื่อนขณะเดินกลับเข้ามหาวิทยาลัย ป้าศรีปิดร้านไป 2 วัน พอถึงวันที่ 3 ป้าศรีจึงตัดสินใจจะไปเปิดร้านด้วยวัตถุดิบที่เหลืออยู่ แต่ทว่าเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดในช่วงที่ป้าศรีหยุด ไฟฟ้าแถวนั้นดับทำให้ของที่แช่ไว้เสียหมด ป้าศรีทรุดตัวลงด้วยความสิ้นหวัง แต่ทันใดนั้นเองสายตาป้าศรีก็มองเห็นเงินในกล่องบริจาค ความคิดสองฝั่งก็ตีกัน อีกฝั่งให้หยุดไม่นำเงินทำบุญออกมาใช้ อีกฝั่งก็บอกไม่เป็นไรแค่ยืม ถ้ามีเงินก็ค่อยเอาคืน  เมื่อป้าศรีได้แบบนั้นจึงตัดสินใจนำเงินในกล่องรับบริจาคไปซื้อของมาต่อทุนทำข้าวแกง  

 

            หนูนาหายไปตั้งแต่ไปพบป้าศรีที่บ้าน ซึ่งป้าศรีเองกลับเกิดความสบายใจเพราะไม่อยากให้หนูนามาเจอกล่องรับบริจาคที่ว่างเปล่า  ระหว่างนั้นป้าศรีก็ช่วยเหลือให้คนลำบากกินฟรีเหมือนเดิม ทำให้เงินไม่พอซื้อของมาทำในวันต่อไป ป้าศรีจึงหยิบเงินในกล่องรับบริจาคออกมาใช้เป็นครั้งที่ 2 “ไว้ฉันจะเอามาคืนนะ” แต่สุดท้ายป้าศรีก็ไม่ได้เอามาคืน  หนูนามาที่ร้านป้าศรีเพื่อนำเงินในกล่องบริจาคออกมารวบรวมกับกล่องอื่นๆ ป้าศรีมองด้วยความระแวง แต่สุดท้ายหนูนาก็ไม่ได้สังเกตอะไร ได้แต่หยิบเงินในกล่องบริจาค และเดินออกไป  ป้าศรีโล่งใจว่าไม่มีใครจับได้และหยิบออกมาใช้จนเป็นเรื่องปกติ

         ในเย็นวันหนึ่งป้าศรีหยิบเงินในกล่องบริจาคทั้งหมดออกมาเพื่อไปซื้อของเข้าร้าน แต่หนูนาและเพื่อนๆเดินเข้ามาหาป้าศรีในร้านพอดี  หนูนาเพ่งมองไปที่กล่องบริจาคที่ไม่มีเงินสักบาท   ป้าศรีออกตัวว่าไม่ได้เป็นคนเอาไปอย่างร้อนรน หนูนาส่งยิ้มให้ป้าศรีและเดินเข้ามายื่นซองให้ ป้าศรีเปิดดูมันคือเงินจำนวนหนึ่งซึ่งมากเอาการ “หนูเอามาให้ป้าทำไม” หนูนาบอกป้าศรีว่าหลังจากรู้ข่าวว่าป้าศรีโดนวิ่งราวกระเป๋าและไม่เหลือเงินเปิดร้าน หนูนาเห็นว่าป้าศรีช่วยเหลือคนอื่นมาตลอด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนต้องช่วยเหลือป้าศรีบ้าง เธอและเพื่อนๆตกลงกันว่าเงินในกล่องรับบริจาคครั้งนี้จะมอบให้ป้าศรีเพื่อเอามาต่อทุนทำร้านข้าวหนูหนาจึงบอกต่อให้เพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยช่วยเหลือกันคนละนิดละหน่อย ไม่เพียงแค่นักศึกษายังไม่ไรเดอร์ วินมอเตอร์ไซด์  และผู้คนละแวกนั้นช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วย ป้าศรีเข่าอ่อนนั่งลงร้องไห้ด้วยความเสียใจที่หยิบเงินในกล่องบริจาคไปใช้ และเล่าทุกอย่างให้หนูนาและเพื่อนๆฟัง เพราะละอายใจเหลือเกิน   หนูนาและเพื่อนๆไม่โกรธป้าศรีแม้แต่น้อย แต่กลับให้กำลังใจให้ป้าศรีทำดีแบบนี้ต่อไป หลังจากวันนั้นเมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว ป้าศรีก็เริ่มคืนเงินที่เอาจากกล่องบริจาคไปจนหมดจำนวนที่เอาออกมา   

              การเป็นคนดีนั้นว่ายากแล้ว การรักษาความดีนั้นยิ่งยากกว่า เมื่อมีเหตุและปัจจัยทำให้เราลังเลในการละทิ้งความดี หากไม่มีจิตใจที่มั่นคงพอกิเลสนั้นก็เข้าครอบงำเราได้ทุกเวลา แต่เมื่อเรารู้ตัวก็พาตัวเองออกมา เหมือนป้าศรีที่ทำดีมาตลอด แต่เมื่อเดือนร้อนป้าศรีหาทางออกด้วยการตัดสินใจเอาเงินบริจาคมาใช้ ซึ่งเงินนั้นอาจจะมีคนที่เดือนร้อนกว่าป้าศรีรออยู่ก็เป็นได้